“เอ้ สุชัชวีร์” เศร้าใจที่สุด หลังพบสภาพคลองหลังวัดนวลจันทร์ “เน่าโดยสมบูรณ์”

2 มีค. 2565 “เอ้ สุชัชวีร์” สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ไลฟ์ขณะลงพื้นที่ พร้อมกับนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ประธานขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กทม. นายพันธ์พิสุทธิ์ นุราช “กัปตันไมเคิล” ผู้สมัคร ส.ส. เขตบึงกุ่ม นายปพนชัย สุวรรณทศ ผู้สมัคร สก. เขตบึงกุ่ม ระบุว่า วันนี้เดินรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนหลายชุมชนในเขตบึงกุ่มตั้งแต่เช้า และเห็นว่าเป็นเขตที่มีความหนาแน่น และถือว่าอยู่ในเขตเมือง ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลผ่าน แต่พื้นที่นี้มีน้ำเน่า น้ำท่วมแบบสุดๆ ชนิดที่เรียกว่า “คับแค้นมากที่สุด”

“เอ้ สุชัชวีร์” บอกว่า ที่วัดนวลจันทร์ ถือเป็นวัดหลักของเขตบึงกุ่ม และเป็นศาสนสถานที่มีชื่อเสียง ชาวไทยพุทธให้ความเคารพนับถือ มีศาลาสวดพระอภิธรรมถึง 11 ศาลา นอกจากนี้ยังบริจาคที่ให้เป็นโรงเรียนวัดนวลจันทร์อีกด้วย ซึ่งจากการพูดคุยกับเจ้าอาวาส พระครูธีรพัฒนาภรณ์ (ประเสียร) พบว่าสมัยที่เจ้าอาวาสยังเป็นเด็ก สามารถเล่นน้ำและใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคจากคลองบางขวดที่อยู่หลังวัดได้ นอกจากนี้ยังใช้เป็นเส้นทางสัญจรบิณฑบาตรทางเรือ และจัดเทศกาลลอยกระทงทุกปี แต่ปัจจุบันต้องสร้างคลองเทียมติดกับคลองจริงเพื่อจัดเทศกาลแทน

เนื่องจากสภาพคลองในปัจจุบัน เมื่อ “เอ้ สุชัชวีร์” เห็นแล้วถึงกับกล่าวว่า “เห็นแล้วขนลุก” แต่การไลฟ์ไม่สามารถส่งกลิ่นไปถึงได้ เพราะถ้าไลฟ์นี้ส่งกลิ่นไปได้ ก็คงไม่มีใครดูไลฟ์ของตนแล้ว เพราะเหม็นสุดๆ เพราะน้ำในคลองได้เน่าโดยสมบูรณ์แบบไปแล้ว ส่งกลิ่นแรงมากจากกรดซัลฟูริก ก๊าซมีเทน ซึ่งจากไอระเหยดังกล่าว มีฤทธิ์กัดกร่อนทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้า มุ้งลวด หรือวัสดุที่เป็นเหล็กเสียหาย

“ถ้าเกิดโลหะ เครื่องใช้ไฟฟ้ายังพัง แล้วปอดคนจะไม่พังได้อย่างไร ตรงนี้ที่แค้นใจคือฝั่งนี้เป็นวัด ฝั่งโน้นเป็นโรงเรียนวัดนวลจันทร์ และมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอยู่ ผมเห็นแล้วผมบอกเลยว่ามันเกินไปจริงๆ ผมอาสามาอยู่ตรงนี้ ตั้งใจจริงๆ ว่า เรื่องพวกนี้อย่างน้อยมันต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงในรุ่นของเรา” เอ้ สุชัชวีร์กล่าว

พร้อมกับเปิดแผนที่ให้เห็นว่า คลองบางขวดเชื่อมไปถึงคลองบางบัว คลองลาดพร้าว และอีกด้านด้านหนึ่งเชื่อมไปถึงคลองบางเตย และคลองแสนแสบ ดังนั้นที่ว่าน้ำในคลองแสนแสบยังไม่เคยสะอาดเพราะส่วนหนึ่งได้รับน้ำเน่าจากคลองบางขวด โดยสาเหตุที่น้ำเน่านั้นเกิดจากน้ำนิ่ง และเป็นน้ำตาย ถ้าจะไม่ให้น้ำเน่าก็จะต้องไม่ให้ตายและไม่ให้นิ่ง น้ำในคลองที่อยู่ในกรุงเทพฯ จำเป็นต้องเกิดการหมุนเวียน

ปัจจุบันน้ำคลองในกรุงเทพมหานครนั้น ไม่สามารถไหลเวียนตามธรรมชาติได้ เพราะได้กลายสภาพเป็นแอ่งโดยสมบูรณ์แล้ว โดยเฉพาะกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก เขตบึงกุ่ม คันนายาว มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง ทำให้เมื่อไม่มีฝนตกน้ำจึงนิ่ง และเน่าในที่สุด ขณะที่เมื่อเกิดฝนตกน้ำไหลระบายออกไปไม่ได้ เพราะไม่มีระบบสูบน้ำ ไม่มีประตูน้ำ จึงทะลักเข้าท่วมบริเวณวัด และชุมชน

“นี่ไม่ใช่พื้นที่เดียวใน กทม. ที่เกิดเหตุการณ์น้ำย้อน หลายหมู่บ้านสูบน้ำจากซอยขึ้นถนน แต่น้ำจากถนนเมื่อระบายไม่ทันก็ไหลย้อนกลับมาที่หมู่บ้าน เพราะระบบการเปิดปิดประตูน้ำ ระบบเครื่องสูบน้ำยังใช้แรงงานคน ไม่เป็นอัตโนมัติ เรื่องแบบนี้ กทม. ต้องคิดให้ครบ ทำให้จบ ชีวิตคนเปลี่ยน เมืองเปลี่ยน” เอ้ สุชัชวีร์กล่าว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *