ผบ.ตร. เปิดอาคารและตรวจเยี่ยมกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

ผบ.ตร. เปิดอาคารและตรวจเยี่ยมกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กำชับหน่วยงานในสังกัด เตรียมความพร้อมดูแลนักท่องเที่ยว รองรับนโยบายรัฐบาลผ่อนคลายเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.65


ต่อมาเวลา 11.30 น. ภายหลัง ผบ.ตร. เดินทางกลับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ฯ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญกับการผลักดันการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและให้ผ่อนคลายมาตรการควบคุมป้องกันโรค เพื่อให้ประชาชน ผู้ประกอบการ สามารถดำรงชีวิตและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติ นอกจากนี้ยังปรับมาตรการป้องกันโรคสำหรับการเดินทางเข้าประเทศไทย เริ่มตั้งแต่ 1 ก.ค.65 เพื่อให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินเข้าประเทศได้สะดวก ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากยิ่งขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย บช.ทท. และ สตม. มีการเตรียมมาตรการรองรับ 3 มาตรการ ดังนี้

1. ด้านความสะดวกและรวดเร็วในการให้บริการ โดยเฉพาะขั้นตอนการเข้า-ออกประเทศ สตม. ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ ไว้ประจำสนามบินนานาชาติ ทั้ง 5 แห่ง คือ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ กว่า 2,000 นาย มีการเสนอให้ยกเว้นการยื่นรายการของคนต่างด้าวซึ่งเดินทางเข้ามาในหรือออกไปนอกราชอาณาจักร (แบบ ตม.6) เฉพาะกรณีการเดินทางผ่านด่านท่าอากาศยาน อยู่ระหว่างรอผู้มีอำนาจลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือน มิ.ย. 2565 นอกจากนี้ยังได้จัดทำโครงการนำร่อง การขอนุญาตอยู่ต่อในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Extension นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในการให้บริการ เพื่อลดความแออัด ลดขั้นตอน และระยะเวลาการให้บริการ รวมถึงการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คาดจะสามารถเปิดให้บริการแก่คนต่างด้าวได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2565

2. ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การระวังป้องกันการติดเชื้อโควิด 19 ทั้งตัวเจ้าหน้าที่เอง และนักท่องเที่ยว รวมถึงอุบัติภัยหรืออาชญากรรมต่างๆ ได้สั่งการให้ สตม. และ บช.ทท. เชิญผู้ประกอบการโรงแรม ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว มาประชุมเพื่อขอความร่วมมือให้มีการแจ้งที่พักตามกฎหมายให้ครบถ้วน 100% เพื่อสะดวกในการติดตามตัวและดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหมั่นออกกวดขันตรวจตราผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืน นอกจากนี้ได้มีการสั่งการให้ ตำรวจท่องเที่ยว ให้ประสานผู้ประกอบการในพื้นที่ตนเองในการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวที่จะเข้าไปพักอาศัย หรือใช้บริการสถานที่ต่างๆให้มีความปลอดภัยต่อนักท่องเที่ยว โดยตำรวจท่องเที่ยวได้พัฒนาระบบแบบตรวจมาตรฐานความปลอดภัยของสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อนำไปเป็น ระบบปฏิบัติการสายตรวจตำรวจท่องเที่ยว และการจัดเก็บข้อมูลท้องถิ่น รวมถึงจุดเสี่ยง จุดล่อแหลม ให้มีความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ นอกจากนี้ยังมี โครงการ Tourist Police i lert u เป็น Application เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถ download พร้อมติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ เพิ่มช่องทางการติดต่อและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว หากเกิดเหตุกับนักท่องเที่ยว App ดังกล่าวยังสามารถระบุพิกัดสถานที่ของนักท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การประสานงานและช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ข้อมูลจากนักท่องเที่ยวจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์ Hot line 1155 ให้บริการ 30 คู่สาย ตลอด 24 ชม. มีล่ามภาษา 5 ภาษา คือ อังกฤษ ญี่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย จีน พร้อมให้บริการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ แจ้งเหตุ ร่วมกับ สถานีตำรวจท่องเที่ยว 32 สถานี และบูรณาการกับหมายเลขศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 สอดประสานทำงานร่วมกับสถานีตำรวจทั่วประเทศอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว

3. ด้านของการให้บริการให้นักท่องเที่ยวเกิดความ “อบอุ่น ประทับใจ” ที่ได้มาเที่ยวประเทศไทยนั้น มีการขอความร่วมมือภาคีเครือข่าย และประชาชนดูแลนักท่องเที่ยวให้เกิดความ “อบอุ่น ประทับใจ” สถานที่ท่องเที่ยวต้องมีมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มงวด















พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวอีกว่า ผบ.ตร. ได้กำชับให้มีการประสานกับหน่วยราชการในพื้นที่ออกตรวจสอบสถานประกอบการ แหล่งมั่วสุม หรือสถานที่มีประชาชนแออัดจำนวนมาก หากพบการฝ่าฝืนให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด และยังกำชับตำรวจทุกนายห้ามมีส่วนข้องเกี่ยวกับการกระทำความผิดทุกรูปแบบไม่ว่าจะโดยตรง หรือทางอ้อม หากตรวจสอบพบว่าพื้นที่ใดปล่อยปละละเลย ก็จะมีโทษ ทั้งนี้หากประชาชน
พบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งมายังสายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวสาร